วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2565

【L★R Rock Battle】AFTER STORY บทที่ 4【εpsilonΦ】

 【L★R Rock Battle】AFTER STORY บทที่ 4【εpsilonΦ】


นิยายพิเศษหลังจบไลฟ์ L★R Rock Battle

ต้นฉบับอ่านฟรีจาก https://bandainamco-am.co.jp/am/vg/cgslive/program/lr-rock_battle.php


ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์เด็ดขาด


- บทแปลทั้งหมด จุดประสงค์เพื่อเป็นการแปลส่วนตัวและแบ่งปันให้ผู้ที่ชื่นชอบคอนเทนต์นี้ร่วมกันเท่านั้น

- นิยายนี้มีการวางโครงเรื่องต่อเนื่องจากในเกม จึงมีการพูดถึงบางเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว


------------------




--- วันที่สอง ช่วงกลางวัน

เรย์จิมองเด็กตัวน้อยพลางถอนหายใจ อารมณ์ของชูในวันแรกของการเดินทางค่อนข้างแย่กว่าปกติ เรย์จิที่ต้องคอยตามความเอาแต่ใจของเขา จึงต้องทำทุกคำเรียกร้องที่ยากจะทำได้ให้กลายเป็นจริงอย่างสุดชีวิต ไหนจะต้องเปลี่ยนระดับของห้องพักให้กลายเป็นห้องระดับสูงสุดทันที ไหนจะต้องมาแล่ปลามากุโระ ไหนจะต้องมาจำแนกวิเคราะห์ส่วนประกอบของบ่อออนเซน แต่ว่า เขากลับไม่ได้รับผลตอบแทนที่หมายมั่นตามความพยายามที่ทำลงไป อารมณ์ของชูไม่กลับมาดีขึ้นง่ายๆเลย

“............”

ชูยังคงแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ และเด็ดกลีบดอกไม้สดจากแจกันฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เรย์จิจึงส่งเสียงทักเพราะอดทนดูไม่ได้

“...ชู เดี๋ยวตัวคุณจะเปื้อนครับ กรุณาอย่าโปรยดอกไม้เล่นเลยครับ”

“ก็ผมว่างเลยเล่นคนเดียวแบบนี้ไง ไหนจะเรื่องที่ ทุกคนท่องเที่ยวด้วยกัน… เด็กน้อยอายุกี่ขวบกันบ้างแล้วเนี่ย? ไม่ได้เรื่องจริงๆ”

เมื่อฉีกกลีบดอกไม้บนมือจนหมด ชูก็ได้ชูแขนยืดเส้นยืดสายขนานใหญ่

“ไหนจะเรื่องนี่อีก ผมไม่สนว่าจะเป็นของรางวัล LRแบทเทิลหรืออะไร แต่ไม่มีใครยินดีกับการท่องเที่ยวแบบนี้หรอก ถ้ามีจริงๆ คงน่าอดสูมากๆ จนผมน้ำตาร่วงเลยแหละ”

“ผมเข้าใจความรู้สึกคุณครับ… แต่ว่าอุตส่าห์ได้มาแหล่งออนเซนแล้ว อย่ามัวแต่หมกตัวในห้องพัก แล้วลองเข้าแช่ลงบ่อดู คิดว่าอย่างไรครับ?”

ชูแสดงสีหน้ารังเกียจขีดสุดต่อคำเสนอของเรย์จิ

“ไม่เอาล่ะ ให้ไปแช่น้ำกับใครที่ไหน ผมรู้สึกขยะแขยงจนทนไม่ได้นี่ …จะว่าไป ห้องนี้เงียบสงบดีเนอะ”

เมื่อชูหันมองไปรอบๆ กลับไม่เห็นร่างของฮารุกะ คานาตะ และทาดาโอมิที่มาด้วยกัน เขารู้สึกว่าเพิ่งส่งเสียงเจี้ยวจ้าวใส่กันจนเมื่อครู่นี้เอง

เรย์จิที่ทำความสะอาดกลีบดอกไม้จากการละเล่นของชูเสร็จ ได้พยักหน้านึกคำพูดและเริ่มอธิบาย

“ทาดาโอมิเฝ้ารอการมาออนเซนโดยตลอดเลยออกไปข้างนอกตัวคนเดียว ส่วนฮารุกะไปทางเขตเมืองออนเซนครับ คาดว่าคานาตะก็ไปด้วยเช่นกัน”

“เมืองออนเซน…”

“ครับ รอบพื้นที่โรงแรมมีทั้งออนเซนแบบแช่เท้า สถานประกอบการที่สนุกสนานกับออนเซนได้ในหนึ่งวันอยู่หลายแห่งครับ”

“หืม ช่วยไม่ได้แฮะ ผมเองก็ออกไปเที่ยวด้วยดีมั้ยน้า อยู่ที่นี่ก็มีแต่ฟังคำเทศนาไร้สาระของเรย์จิอย่างเดียวด้วยสิ”

หลังจากจงใจถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อชูลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก็ได้พังแจกันดอกไม้อย่างปกติที่ควรจะกระทำ และหันมองเรย์จิพร้อมกับเสียงดังเพล้ง

“งั้น ผมไปล่ะ”

“...ชู กรุณาเลิกสร้างปัญหาที่ปลายทางด้วยนะครับ”

“นั่นขึ้นอยู่กับอารมณ์ผมนะ”

เรย์จิมองชูแสยะยิ้มเดินออกจากห้องไปแล้วกระเดาะลิ้นเบาๆ ขึ้นมา

“........ให้ตายเถอะ ไอ้เด็กอวดดีนั่น”


*


ในช่วงเวลาเดียวกัน นิโจฮารุกะอยู่ในสปาออนเซนที่ตั้งอยู่ภายในเมืองออนเซน

อาจจะโดนมองว่าผิดคาด แต่ฮารุกะไม่ได้เกลียดการแช่ออนเซน เพราะสามารถลืมความเครียดในชีวิตประจำวัน และใช้เวลากับตัวเองเพียงคนเดียวโดยที่ไม่มีใครมาขัดขวาง ช่วงเวลาแสนสงบสุขในใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญล้ำค่าอย่างยิ่งยวดสำหรับตัวฮารุกะ แต่ทว่า ความสงบสุขนั้นกลับจางหายไปหลังจากแช่น้ำลงได้เพียง 3 นาที

"นี่พี่! ออนเซนที่นี่ดีต่อผิวพรรณแหละ เจ๋งสุดๆไปเลยเนอะ"

"ทำไมแกถึงมาอยู่ตรงนี้วะ!"

ฮารุกะมองคานาตะที่อิ่มเอมกับน้ำร้อนอยู่ข้างๆ ราวกับเป็นเรื่องปกติ จึงได้ส่งเสียงโกรธดั่งลั่นออกมา

"คร้าบๆ อย่าเพิ่งตวาดกันสิ พี่เนี่ยสมาธิสั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นะ งั้นถามกลับกัน ทำไมถึงคิดว่าฉันจะไม่มาล่ะ?"

"....."

ฮารุกะลุกขึ้นยืนเงียบสนิทดูตั้งใจจะออกจากออนเซน คานาตะจึงรีบคว้าแขนเขาอย่างลุกลี้ลุกลน

“เดี๋ยวๆๆ อย่าเงียบแล้วหนีไปซี่--! นานทีมาแช่น้ำด้วยกันก็ไม่แย่ใช่มั้ยล่ะ? เหมือนกลับไปสมัยเด็กๆไง”

“คลื่นไส้ หายไปซะ”

“ปากเสียอะ! เอาเถอะ แล้วนี่พี่จะเอาไงหรอ?”

“......เรื่องอะไร?”

“LRแบทเทิล หมอนั่นออกในงานด้วยนี่ ‘คู่แข่ง’ ของพี่น่ะ”

คานาตะพูดเสร็จ ก็ได้เฝ้าคอยคำตอบโดยจับสังเกตทุกฝีก้าวของฮารุกะ เขาที่จงใจเลือกหัวข้อที่ยั่วโมโหฮารุกะ ไม่ใช่ว่าอยากจะทำให้เขาโกรธ แต่เป็นเพราะเหตุผลง่ายๆ ว่าถ้าเป็นหัวข้อนี้จะทำให้เขาพูดคุยกับฮารุกะได้มากขึ้น

---เคียดแค้น ชิงชัง อาฆาต คิดอยากเปิดศึก แทบขย้อนของเสีย และความหวาดหวั่นเพียงเล็กน้อย คานาตะคลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ

“ฉันไม่ยอมรับหรอก ก่อนหน้านี้ก็พูดไปแล้วอะนะ”

“ไม่เกี่ยวว่าแกจะคิดยังไงสักนิด”

“ก้อบอกว่า เกี่ยวกันไง ไอ้คนห่วยแตกครึ่งๆ กลางๆ อย่างหมอนั่น ไม่คู่ควรกับการเป็นคู่แข่งพี่เลย”

“นิโจคนน้องไม่ชอบซู้ดหรอ?”

ฮารุกะกับคานาตะ หันไปมองอย่างตกใจสุดขั้นเพราะได้ยินเสียงที่จู่ๆ แทรกมา ไม่คาดคิดว่าจะมี…แต่ก็คิดว่าคงมี คนที่สวมหมวกสีดำที่คุ้นตาอยู่

“ฉันชอบ การซู้ดซุปมันคู่กับข้าวดี”

“สึบากิ…?”

“...บักกี้ สมองไหวปะ? แต่นี่ให้ฉันตบมุกตรงไหนก่อนเลือกไม่ถูกแล้วนะ”

“ฉันไม่ใช่บักกี้ สึบากิยามาโตะต่างหาก”

“รำว่ะ… เฮ้ยนี่ อย่าใส่หมวกในออนเซนสิ”

“แย่ล่ะ ฉันลืมถอด”

“เดี๋ยวสิพี่ ไอ้หมอนี่มันอะไรกันอะ”

ถึงโดนถามมา ฮารุกะก็ไม่มีทางรู้ได้ ฮารุกะถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อปรับอารมณ์ให้เย็นลง และเคาะที่หัวของยามาโตะซึ่งยังสวมหมวกเช่นเดิมเบาๆ

“เฮ้ย สึบากิ นายมาทำอะไรที่นี่?”

“ฉันตั้งใจจะไปแช่อ่างน้ำร้อนบ่อใหญ่ในเรียงกัง เลยมาถึงที่สปาออนเซนที่นี่”

““ไหงงั้นเนี่ย!?””

ฮารุกะกับคานาตะประสานเสียงอย่างสวยงามสมกับความเป็นฝาแฝด แต่ตัวยามาโตะกลับไม่ได้มองการตอบกลับที่เวอร์วัง และถอดหมวกใบโปรดออก

“สำหรับฉันแล้วนี่เป็นเรื่องสามานย์ธรรมดา”

“เรื่องสามัญธรรมดา ปกติแล้วน่าจะรู้ตัวตั้งแต่ออกจากเรียวกังไม่ใช่เรอะ… ไม่สิ สึบากิไม่ปกติงั้นเรอะ”

“ฉันเป็นคนปกติ”

“แล้วนี่ ไม่น่าใช่แค่ระดับหลงทิศแล้วมั้ยเนี่ย?”

“ฉันไม่ใช่คนหลงทิศ”

“หลงทิศชัดๆ! สำนึกซะบ้าง!”

“สำหนืด?”

“สำนึก!”

คานาตะขยุมเส้นผมสีเขียวและเสยไปด้านหลังด้วยท่าทางหงุดหงิด จากนั้นจงใจเดาะลิ้นด้วยระดับเสียงที่ตั้งใจให้ยามาโตะได้ยิน คานาตะรังเกียจชายที่ราวกับได้มัดรวมทุกสิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์ในโลกนี้ทั้งหมดอย่างสุดขั้ว

“อ้า--ไม่เอาแล้ว-- พูดอะไรไม่รู้เรื่อง หัวจะปวด…”

“ปวดหัวหรอ? น่าสงสารนะ”

“ผิดที่บักกี้เนี่ย”

“.....................ฉันไปล่ะ”

“อ๊ะ เดี๋ยวก่อนสิพี่!”

ฮารุกะถอนหายใจเหนื่อยหน่าย และมุ่งหน้าไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อราวกับจะหลีกหนี

“อ้าก พี่ออกไปซะแล้ว เป็นความผิดของบักกี้ชัดๆ อะ”

“นิโจไม่ใช่ไทป์แช่นานสินะ เหมือนกาเหว่าบนผิวคน”

“อีกาบนผิวน้ำ! เฮ้อ… ทำไมคนแบบนี้ถึงมาเป็น ‘คู่แข่ง’ ของพี่ได้เนี่ย?”

“หมายถึงอะไร?”

“นายไม่เหมาะไง หัวไม่ดี เล่นดนตรีก็ห่วย ไม่ยอมฟังคำพูดคนอื่น… แถมคนที่ไม่ได้พยายามอะไรกลับเป็นคู่แข่งเนี่ย แปลกใช่มั้ยล่ะ”

ยามาโตะฟังสิ่งที่คานาตะพูด จึงเงียบลงราวกับคิดอะไรบางอย่าง

“นิ่งอะไรเนี่ย? แทงใจดำรึไง?”

“...นิโจคนน้องก็อยากเป็นคู่แข่งของนิโจเหรอ?”

คานาตะหยุดหายใจไปชั่วขณะ กับคำพูดที่เหนือความคาดหมายของยามาโตะ ความรู้สึกที่อัดแน่นในใจ ไม่รู้ว่าคือความไม่พึงไม่พอใจหรือความหวั่นไหวกันแน่ เพียงแต่ตัวเองทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้ยินมานี้ไม่ได้เลย

“จริงอยู่ที่ฉันหัวไม่ดี กีตาร์ก็ยังห่วยมาก แต่ว่าฉันพยายามอยู่ ทั้งได้เรียนหนังสือจากอาโออิกับมิซากิ ทั้งได้นิโจมาช่วยสอนเรื่องกีตาร์”

“แล้วยังไง? เพราะตัวเองพยายามเลยคิดว่าวิเศษวิโสนักรึไง?”

“ไม่ใช่ ฉันคิดว่าการที่คนเราอยู่ด้วยกันและทำให้เริ่มอยากเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างคือคู่แข่ง ขัดเกากลางลู…ขัดเกากำแบ…”

“...อยากจะพูดว่า ขัดเกลากันและกัน เหรอ?”

“ใช่ นั่นล่ะ พอนิโจสอนกีตาร์ให้ฉัน ฉันก็คิดว่าอยากเล่นเก่งขึ้นมา ทำแบบนั้น เรียนรู้กันและกัน และไปถึงจุดสูงสุด นั่นล่ะคือคู่แข่ง …คิดแล้ว สิ่งที่ฉันสอนนิโจได้ มีแค่ชนิดของผลิตภัณฑ์ข้าวนี่นะ”

“นายจะพูดอะไร ไม่เห็นเข้าใจเลยสักนิด”

“ฉันจะบอกว่า ถ้านิโจคนน้องอยากเป็นคู่แข่ง ก็มุ่งเป้าไปสร้างความสัมพันธ์แบบนั้นก็ได้นี่?”

เมื่อฟังคำพูดของยามาโตะแล้ว คานาตะรู้สึกอยากสำรอกออกมา สายสัมพันธ์แบบนั้นมันมีอะไรดี พวกเราพี่น้องไม่สามารถเป็นสายสัมพันธ์แบบนั้นได้ อีกทั้งเขาไม่ได้วางเป้าหมายว่าจะเป็นความสัมพันธ์นั้นมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

“ฉันล่ะโคตรเกลียดบักกี้ชะมัดเลย”

ยามาโตะเพียงตอบกลับว่า งั้นเหรอ กับคำพูดของคานาตะที่เปล่งออกมาได้ในที่สุด หลังจากรวบรวมความรู้สึกหงุดหงิด ร้อนรน รวมทั้งความรู้สึกไม่สบอารมณ์ทั้งหมดเท่าที่มีออกมาเป็นการกระเดาะลิ้น คานาตะก็เงียบปากและออกจากบ่อน้ำร้อนนี้ไป

---เคียดแค้น เกลียดชัง อาฆาต คิดอยากเปิดศึก แทบขย้อนของเสีย และความหวาดหวั่นเพียงเล็กน้อย เรียกได้ว่าตนรู้สึกเลวร้ายเป็นที่สุด


*


--- วันที่สอง ช่วงค่ำ

คุโรคาวะโทโมรุผู้ซึ่งทำงานเสร็จสิ้นเสียทีกำลังใช้เวลาสุขสงบแช่บ่อน้ำร้อนที่ตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ

“เฮ้ออ… ดีจังที่มีชีวิตอยู่”

เสียงที่ออกมาเหนื่อยล้าอ่อนแรงกว่าที่คิดไว้จึงระลึกถึงความเหน็ดเหนื่อยที่ตนได้ทำมาอีกครั้ง ทันใดนั้น มีใครบางคนส่งเสียงเรียกตัวเขา

“อ้าว คุณคุโรคาวะใช่มั้ยครับ”

เมื่อโดนเรียกชื่อ เขาจึงหันไปทางต้นเสียง แต่เนื่องจากถอดแว่นตาอยู่ วิสัยทัศน์จึงเบลอมากกว่าปกติทำให้มองอะไรไม่ชัดนัก พอพยายามห่อสายตาลงมองอย่างเต็มที่ ทำให้รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มทันพลัน

“อ๋อ คุณมองไม่เห็นสินะครับ ผมเองครับ คุรามะทาดาโอมิครับ”

“คุรามะคุงเองเหรอ! ท โทษที! ผมสายตาไม่ดีเลยมองไม่เห็นว่าเป็นใคร”

“ไม่เป็นไร อย่าคิดมากเลยครับ วันนี้คุณไม่ได้สวมแว่นตาสินะครับ”

“อืม ผมเป็นประเภทถอดแว่นเวลาแช่ออนเซนน่ะ ยิ่งกว่าเรื่องของผม…นายก็มาที่นี่ด้วยสินะ ออนเซน”

“ครับ แต่ตั้งแต่ต้น ทุกคนดูไม่ค่อยชอบใจกันสักเท่าไหร่…”

“สมาชิกเอปซิทุกคนดูท่าทางจะไม่น่าชอบออนเซนละเนอะ ดูมีภาพลักษณ์ชอบจำพวก…เที่ยวต่างประเทศ อย่างฮาวาย ไม่ก็ฝั่งยุโรป”

เมื่อได้ยินดังนั้น ทาดาโอมิก็หัวเราะอากัปกิริยาสงวน พอมองท่าทางเช่นนั้นโทโมรุก็นึกถึงเฟลิกซ์ขึ้นมา พลางคิดว่าผู้ที่มีรากฐานดีทุกคน แม้แต่รอยยิ้มก็มีความเป็นผู้ดีสง่างามอยู่

“คุณคุโรคาวะ ชอบออนเซนหรือครับ?”

“ในสมัยม.ต้นม.ปลาย ตัวผมเองก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้นนะ… แต่พอเข้าวัยผู้ใหญ่แล้ว จะว่าชอบขึ้นมาก็ไม่เชิง เรียกว่ารู้จักเสน่ห์ของมันแล้วล่ะ ที่จริงแล้ววันนี้ผมตั้งใจจะเข้าแช่ก่อนมื้ออาหาร แต่ยังทำงานไม่เสร็จ สุดท้ายเลยมาแช่ในเวลาป่านนี้”

“เป็นอย่างนั้นนี่เอง เหน็ดเหนื่อยแย่เลยนะครับ”

“ขอบใจนะ แล้วคุรามะคุงชอบมั้ย? ออนเซน”

“ผมคิดว่าน่าสนใจมากครับ”

“น่าสนใจมาก? ออนเซนน่ะเหรอ?”

“ครับ เพราะเป็นสถานที่ที่ผู้คนมากมายแสดงสีหน้าที่หลากหลายให้เห็น ถ้ามีคนที่แสดงสีหน้าผ่อนคลายแบบคุณคุโรคาวะ ก็มีคนที่ครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ด้วย ผมสนใจมากๆ เพราะ ทั้งที่เป็นเพียงสถานที่แช่น้ำร้อน แต่ผู้คนกลับแตกต่างกันขนาดนี้”

“ง งั้นเหรอ…”

เป็นเด็กที่แปลกจริงด้วย โทโมรุรีบกลืนคำพูดที่เกือบจะโพล่งออกมาลงคอ เขาไม่คิดจะพูดอะไรเกี่ยวกับมุมมองแสนเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครของทาดาโอมิ และคลี่ยิ้มจางๆ แสนคลุมเครือสมสถานะพนักงานบริษัทมากลบเกลื่อน

“จริงสิ คุณคุโรคาวะ เมื่อสักครู่ผมเห็นคุณสุซากิกับเรย์จิคุงแช่ด้วยกันละครับ”

“จุนกับคาราสึมะคุง? เป็นการจับคู่ที่แปลกดีนะ”

“ในสายตาของคุณคุโรคาวะ เห็นทั้งสองคนเป็นแบบไหนเหรอครับ?”

“เห็นเป็นแบบไหน…นี่มัน คือ…นิสัยน่าจะไม่เข้ากัน ไหมนะ? ถ้าให้พูด จุนน่าจะเป็นพวกเก็บตัวขี้กลัวไม่กล้า ส่วนคาราสึมะคุงดูเป็นคนกระตือรือร้นและขึงขังจริงจัง แต่ว่า กับคาราสึมะคุงงั้นเหรอ… จุน จะพูดคุยกับเขาได้หรือเปล่านะ”

“พูดคุยได้นะครับ”

“งั้นเหรอ โล่งไปที คุยกับเด็กม.ปลายได้เนี่ย จุนก็พัฒนาเหมือนกันแฮะ”

ทาดาโอมิเงียบลงโดยที่ยังคงรูปรอยยิ้มที่ริมฝีปาก ไม่ใช่เพียงเพราะตนกำลังฟังคำพูดของโทโมรุอย่างจริงจัง แต่เหมือนว่ากำลังจ้องสังเกตการณ์โทโมรุต่างหาก ทำขนาดนั้นก็เริ่มรู้สึกหวั่นขึ้นมาจึงส่งเสียงทัก

“เอ่อ คุรามะคุง?”

“...ตัวผม คิดว่าเรย์จิคุงกับคุณสุซากิคล้ายกันอย่างมากครับ”

หยดน้ำที่ปลายผมของทาดาโอมิร่วงลงหนึ่งหยด ชั่ววินาทีนั้น ทุกสรรพเสียงรอบข้างพลันหายไป เหลือเพียงเสียงของทาดาโอมิที่กังวาลชวนขนหัวลุก

“เรย์จิคุงน่าจะคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์ที่แตกต่างจากคุณสุซากิ แต่ว่าไม่ใช่ เรย์จิคุงก็เป็นมนุษย์ที่ยืนอยู่จุดเดียวกันกับคุณสุซากิครับ”

โทโมรุปิดปากนิ่งพูดอะไรไม่ออก ราวกับถูกตัดขาดออกจากโลกใบนี้

“...ถ้าหาก โลกนี้มีผู้ที่ช่วงชิงและผู้ที่ถูกพลัดพราก ทั้งสองคนต่างเป็นมนุษย์ฝั่งที่ถูกพลัดพรากครับ ไม่สิ เคยเป็นหรือเปล่านะ ตอนนี้เรย์จิคุงพยายามตะเกียกตะกายอย่างสุดชีวิต แต่ว่าคนเราไม่ได้เปลี่ยนไปกันง่ายๆ คุณก็คิดเหมือนกันไหมครับ?”

“ย อย่างนี้นี่เอง...?”

เสียงที่ได้ออกมาในที่สุดกลับเปล่งน้ำเสียงออกมาดูน่าสมเพช ทำให้รู้ได้แน่ชัดว่าตนเองได้ถูกกลืนกินในโลกของทาดาโอมิ ผู้ที่ช่วงชิง ผู้ที่ถูกพลัดพราก … ไม่ถึงกับเป็นคำที่ประหลาดแต่ก็ช่างห่างไกลจากออนเซนนี้นัก มาพูดเรื่องนั้น ทาดาโอมิต้องการอะไรกันแน่ โทโมรุนึกถึงเรื่องที่พูดคุยกับทาดาโอมิที่สวนสาธารณะขึ้นมา

ตอนนั้น เขาก็จำได้ว่าตนรู้สึกว่าเขาช่างเป็นเด็กหนุ่มที่น่าพิศวง เขาถามกับตัวเองว่าในตอนที่ตัวเองอายุเท่ากันกับทาดาโอมิว่าเคยใคร่ครวญถึงเรื่องแบบเดียวกันหรือเปล่า ไม่แน่ว่าตัวทาดาโอมิอาจจะชอบเรื่องราวประเภทปรัชญาก็เป็นได้ นั่นเป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าตนเองก็เริ่มเป็นห่วงว่าทาดาโอมิจะมีเพื่อนวัยเดียวกันที่มีความสนใจเรื่องเดียวกันหรือไม่ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ การที่ไม่อาจเข้าวงสนทนากับคนอื่นได้เป็นเรื่องที่เจ็บปวดกว่าที่คาดไว้

โทโมรุใช้มันสมองที่อ่อนล้าจากงานและชุ่มฉ่ำด้วยออนเซนทำงานอย่างเต็มกำลัง หลังจากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่หนึ่งครั้งเพื่อคิดถึงคำตอบที่ใคร่ครวญมาอย่างซื่อสัตย์จริงใจ รอบคอบ และแสนสุภาพ

การอยู่เคียงข้างเด็กเป็นความรับผิดชอบของพวกเราผู้ใหญ่


“เอ่อ...ก็คือ ในสายตาคุรามะคุงแล้ว คาราสึมะคุงเป็นคนอ่อนโยนสินะ?”

“เอ๊ะ?”

“มองรวมๆแล้ว นายหมายถึงคาราสึมะคุงไม่ใช่คนเลวร้ายที่จะแย่งชิงอะไรจากคนอื่นสิเนอะ? จุนก็เหมือนกันนะ เพราะอ่อนโยนกว่าคนอื่นเท่าตัว เลยไม่แย่งอะไรไปจากใคร และไม่คิดจะช่วงชิงด้วย เลยกลายเป็นฝั่งที่ถูกพลัดพรากแย่งชิงไป แต่พอฉันเห็นแล้วก็อยากช่วยจุนที่เป็นคนแบบนั้น อยากให้กำลังใจ แสดงว่าในสายตาคุรามะคุง คาราสึมะคุงเป็นคนแบบนั้นเหมือนกันสินะ”

“อย่างนี้นี่เอง... มุมมองของคุณคุโรคาวะมักจะเหนือความคาดหมายตลอดเลย ผมรู้สึกได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะมากๆ ครับ”

“ร เหรอ? เก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับจุนด้วยนะ ฉันรู้สึกเขินบอกไม่ถูกน่ะ”

“แน่นอนครับ”

โทโมรุมองสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปของทาดาโอมิแล้วรู้สึกพะวงขึ้นมาว่าเขาจะได้รับคำตอบที่น่าพึงพอใจหรือเปล่า หลังจากกระแอมอย่างหวั่นๆ ไปแล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืน อีกเดี๋ยวสมองน่าจะละลายกลายเป็นหยดน้ำแล้ว

“ง งั้นผมคงขึ้นก่อนนะ คุรามะคุงล่ะ?”

“ผมน่าจะอยู่ตรงนี้อีกสักระยะครับ”

“เหรอ? …จะว่าไปแล้ว นายแช่มานานเท่าไหร่แล้วนะ?”

“ไม่ได้มากมายอะไรครับ น่าจะไม่กี่ชั่วโมง คิดว่าประมาณนั้นนะครับ?”

โทโมรุมองทาดาโอมิที่ตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมความสงสัยแล้วหัวเราะ เด็กหนุ่มที่มีแนวความคิดและภายนอกดูเป็นผู้ใหญ่ก็พูดจาขบขันเช่นนี้ได้ ทำให้รู้สึกชวนยิ้มขึ้นมา

“ฮะๆ งี้เองๆ งั้นระวังหน้ามืดด้วยนะ”

“ครับ ขอบคุณมากครับ”


ทาดาโอมิเปรยพึมพำสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากโทโมรุออกจากออนเซน

“เรย์จิคุงในความคิดของผมงั้นหรอ... ไม่เคยลองคิดมาก่อนเลย คุณคุโรคาวะน่าสนใจจริงๆด้วย”

ถ้อยคำที่ออกมาเพียงหยาดน้ำเล็กๆ ของเขาไม่ส่งไปถึงหูของใครผู้ใด หยดลงและละลายไปกับน้ำร้อนแลเลือนหายไป


โทโมรุที่สวมชุดในห้องเปลี่ยนเสื้อ ขณะกำลังใช้ไดร์เป่าเส้นผมตัวเองไปผ่านๆ กลับหยุดมือลงเพราะสัมผัสถึงสิ่งผิดประหลาดได้ จะว่าไปแล้ว จุนเข้าไปแช่ออนเซนตั้งแต่กี่โมงกัน น่าจะนานกว่าตัวโทโมรุค่อนข้างมาก จากนั้น สายตาก็เลื่อนไปที่บานประตูที่เชื่อมไปยังอ่างแช่น้ำร้อน

ภายในอ่างแช่น้ำร้อนแห่งนั้น มีแต่ความเงียบสงัด ราวกับไม่เคยมีใครอยู่ตั้งแต่แรก



-----------

note

เรื่องของจุนกับเรย์จิ ต่อเนื่องจากบทที่ 3 ซึ่งเราจะได้รู้ว่า จุนกับเรย์จิ รวมถึงทาดาโอมิ อยู่ที่ออนเซนตั้งแต่ช่วงกลางวันแล้ว